บันทึกไต่สวนชันูสตรพลิกศพ จรูญ สยาม

คดีหมายเลขดำที่ : ช.13/2555  วันที่ฟ้อง : 26/10/2555   โจทก์ : พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1  จำเลย : นายจรูญ ฉายแม้น, นายสยาม วัฒนนุกูล  ข้อหา : ชันสูตรพลิกศพ

ทนาย : เจษฎา จันทร์ดี, นายพีระ ลิ้มเจริญ

 

นัดสืบพยานวันที่ 12 มีนาคม 2556

          พยาน

  1. น.ส.นงลักษณ์ ฉายแม้น บุตรสาวของนายจรูญ ฉายแม้น
  2. นางบุญนำ ตาเวียง พี่สาวของนายสยาม วัฒนานุกูล
  3. นายบดินทร์ วัชโรบล ทำงานการเมืองกับพี่สาว(ดร.ลีลาวดี วัชโรบล)

พยานปากแรก น.ส.นงลักษณ์ ฉายแม้น เบิกความว่า นายจรูญซึ่งเป็นพ่อของเธอก่อนที่เขาจะเสียชีวิตมีอาชีพขับแท็กซี่และพักอยู่บ้านเดียวกันที่สุขุมวิท 71 เข้าร่วมชุมนุมกับครอบครัวตั้งแต่เดือน มี.ค.-เม.ย.2553 โดยสวมเสื้อยืดสีแดง ก่อนเข้าชุมนุมจะมีการตรวจค้นอาวุธ ระหว่างการชุมนุมไม่มีการปราศรัยชักชวนให้ทำลายทรัพย์สินทางราชการ และเคยไม่เห็นชายชุดดำปะปนอยู่กลุ่มผู้ชุมนุม โดยส่วนใหญ่สวมแต่เสื้อสีแดง ในวันเกิดเหตุ เธอไปร่วมชุมนุมกับเพื่อนที่ราชประสงค์ตั้งแต่ 09.00 น. และเธอได้โทรไปชวนพ่อมาร่วมชุมนุมและตามมาในเวลาประมาณ 10.00 น. และอยู่ด้วยกันจนถึงเวลาประมาณ 18.00 น. พยานจึงกลับบ้าน ส่วนพ่อกับแม่และน้ายังอยู่ที่หน้าเวทีราชประสงค์  เธอทราบภายหลังว่าพ่อได้บอกไว้ว่าจะไปที่ผ่านฟ้ากับเพื่อน แต่น้าและแม่ยังอยู่ที่ราชประสงค์

น.ส.นงลักษณ์ เบิกความต่อว่า กระทั่งเวลา 20.00 น. เศษ น.ส.สุปราณี บุญเนาว์ น้าสาว โทรศัพท์มาถามว่าเธออยู่กับพ่อหรือเปล่า และบอกให้ใจเย็นๆ แล้วให้มาที่โรงพยาบาลกลาง เธอจึงไปที่โรงพยาบาลกับน้องสาว เมื่อไปถึงได้ทราบว่าพ่อของเธอบาดเจ็บสาหัสอยู่ชั้น 9 เมื่อเธอขึ้นไปก็พบพ่อเสียชีวิตแล้ว  บาดแผลถูกเย็บปิดและเธอไม่ทราบว่าเกิดจากอะไร ในวันรุ่งขึ้นจึงติดต่อรับศพไปประกอบพิธีทางศาสนา

หลังจากนั้นได้พบกับนายไพบูลย์[1] อดีตเจ้าหน้าที่ธนาคาร บอกเธอว่าเขาได้ไปร่วมชุมนุมอยู่หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ใกล้กับพ่อของเธอ  ขณะนั้นมีการปะทะกันระหว่างผู้ร่วมชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ทหาร แต่ผู้ร่วมชุมนุมไม่มีอาวุธ นายไพบูลย์เป็นคนให้พ่อของเธอไปช่วยทหารที่ได้รับบาดเจ็บแต่ถูกทหารยิงล้มไปหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา หลังจากพ่อเสียชีวิตก็ไม่ได้ติดตามข่าวใดๆ จึงไม่ทราบสาเหตุของการปะทะกัน และเธอก็ไม่ทราบด้วยว่าทำไมพ่อของเธอจึงย้ายจากเวทีที่ราชประสงค์ไปที่ผ่านฟ้า

พยานปากที่สอง นางบุญนำ ตาเวียง เบิกความว่า นายสยามก่อนเสียชีวิตเป็นหัวหน้าช่างยนต์อยู่ที่หลักสี่  พักอาศัยย่านคลองเปรม เขาเข้าร่วมชุมนุมตั้งแต่ปี 2549 เขาเข้าร่วมชุมนุมตลอดและในปี 53 เขาได้เข้าร่วมชุมนุมทุกเย็นเมื่อเลิกงาน ส่วนตัวเธอเองเข้าร่วมชุมนุมตั้งแต่เดือน มี.ค.-พ.ค.53 โดยประจำอยู่ในเต็นท์ของพัทยาที่เวทีสะพานผ่านฟ้า ส่วนใหญ่ผู้ชุมนุมจะสวมเสื้อสีแดงและไม่มีอาวุธ ตลอดการชุมนุมก็ไม่เห็นชายชุดดำแต่อย่างใด ทุกครั้งที่เข้าร่วมชุมนุมจะไม่ได้อยู่จุดเดียวกับน้องชาย เพราะอาศัยอยู่กันคนละที่จึงแยกกันมา แต่จะโทรศัพท์คุยกันตลอด

วันที่ 10 เม.ย. นางบุญนำอยู่เต็นท์ของพัทยาที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศตั้งแต่เช้า เพราะทราบว่าทหารจะเข้ามาสลายการชุมนุม จึงโทรศัพท์นัดกับน้องชายซึ่งยังทำงานอยู่ว่าจะเจอกันในตอนเย็นและในคืนนั้นพี่สาวชื่อน.ส.ปราณีต กลับเพียรจะไปนอนด้วย  ต่อมาเวลาประมาณ 14.00 น. เธอไปที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ได้เห็นทหารเดินเข้ามาจากทั้ง 2 ด้าน ฝั่งละประมาณ 100 นาย และประกาศให้ผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่ แต่ผู้ชุมนุมไม่ยอม จึงมีการผลักดันกัน ในขณะนั้นเธออยู่ใกล้กับแนวทหาร เห็นทหารใช้โล่และกระบองดันผู้ชุมนุม แต่ไม่มีการทำร้ายกัน  ระหว่างนี้เธอไม่เห็นชายชุดดำ ส่วนไม่เห็นผู้ชุมนุมมีอาวุธมีเพียงขวดน้ำ  สักพักทหารโยนแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุม ส่วนทางด้านผู้ชุมนุมก็ขว้าง และเกิดเหตุการณ์ชุลมุนโดย ก่อนที่ทหารจะถอนกำลังกลับ กระทั่งเวลาประมาณ 16.00 น. มีเฮลิคอปเตอร์บินวนอยู่หลายรอบ และมีผู้ร่วมชุมนุมจากสะพานผ่านฟ้าลีลาศวิ่งมาบอกว่า มีการโยนแก๊สน้ำตาลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ เวลาประมาณ

นางบุญนำ เบิกความต่อว่า 18.00 น. บนเวทีประกาศว่า ทหารจะเข้ามาทาง ถนนดินสอ ให้ผู้ชุมนุมรวมตัวกันที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ เธอจึงไปยืนอยู่หน้าเวทีสักพักมีรถติดเครื่องขยายเสียงของ นปช. ขับไปจอดอยู่หน้ารถถังของทหารที่จอดอยู่หน้าโรงเรียนสตรีวิทยาตรงวงเวียนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ขณะนั้นเห็นรถสายพานลำเลียงประมาณ 2-3 คัน จอดเรียงกันตาม ถนนดินสอ และเห็นทหารประมาณหลายร้อยคน ด้านหน้าจะถือโล่และกระบอง ส่วนทหารที่ยืนอยู่บนรถถังจะถืออาวุธปืนยาว พยานจึงไปร้องรำทำเพลงร่วมกับผู้ชุมนุมคนอื่น แต่เพลงยังไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นมาจากฝั่งทหารเป็นการยิงจากปืนกระบอกเดียวแบบทีละนัด เวลา 19.00 น. เศษ ได้ยินเสียงปืนรัวเป็นชุด พยานจึงก้มหมอบลงกับพื้นเสียงปืนดังใกล้มากแต่ไม่เนื่องจากก้มอยู่จึงไม่เห็นว่าเป็นการยิงขึ้นฟ้าหรือยิงมาทางผู้ชุมนุม แต่ไม่ได้ยินเสียงมาจากทางด้านหลังขณะนั้นเธออยู่บริเวณโค้งวงเวียนหัว ถนนดินสอ ตรงข้ามร้านแม็คโดนัลด์ สักพักเห็นผู้ชุมนุมบาดเจ็บจากการถูกยิงถูกหามขึ้นรถพยาบาล 2 คน แต่ทราบว่าก่อนหน้านี้มีอีกหลายคนที่ถูกนำส่งโรงพยาบาลแล้ว  กระทั่งเวลา 20.00 น. เศษ หลังเสียงปืนหยุดราว 5 นาที  เธอได้ยินเสียงดังคล้ายระเบิด 2 ครั้ง เวลาห่างกันเล็กน้อย ที่หน้าโรงเรียนสตรีวิทยาบริเวณแนวทหารคนที่อยู่ในบริเวณนั้นก็แตกกระจายออกไป  ส่วนทางด้านบนเวทีประกาศว่า ทหารถอยไปแล้ว จากนั้นมีผู้ชุมนุมควบคุมตัวทหารที่สะพายอาวุธปืน 2 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนปืนขึ้นไปบนเวที และมีการนำศพผู้ชุมนุมขึ้นไปบนเวทีด้วย ขณะนั้นไม่ทราบว่าน้องชายอยู่ที่ใด แต่คิดว่าชุมนุมอยู่ที่ราชประสงค์

กระทั่งวันที่ 11 เม.ย. พี่สาวของเธอได้ติดต่อกับน้องชายไม่ได้ จึงออกตามหาโรงพยาบาลต่างๆ และเมื่อไปถึงโรงพยาบาลกลางจึงได้เห็นภาพถ่ายของน้องชายติดอยู่ พยานและพี่สาวจึงเข้าไปดูก็พบศพน้องชาย ทราบจากตำรวจที่โรงพยาบาลกลางว่า น้องชายถูกยิงกระสุนฝังใน บริเวณ ถนนดินสอ หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา หลังจากนั้นได้รับการติดต่อจาก   น.ส.ศิริพร เมืองศรีนุ่น ทนายความ บอกให้ไปดูวิดีโอคลิปเหตุการณ์วันเกิดเหตุ ในวิดีโอคลิปเห็นน้องชายขณะยังไม่เสียชีวิต สวมเสื้อยีนส์แขนยาวยืนอยู่หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ใกล้กับจุดที่นายวสันต์ ภู่ทอง ถูกยิงล้มลง และน้องชายเดินถอยออกมาจากจุดที่มีคนยืนมุงกันอยู่ จากนั้นก็ไม่เห็นน้องชายแล้วเธอยืนยันว่าวิดีโอคลิปที่ได้ดูเป็นเหตุการณ์เดียวกับวันและสถานที่เกิดเหตุแน่นอน และเธอคิดว่าจุดที่นายสยามถูกยิงน่าจะห่างจากจุดที่เธออยู่ตรงหน้าทางเข้าถนนดินสอราว 100 ม.  โดยก่อนสลายการชุมนุมเจ้าหน้าที่ไม่ได้ประกาศเตือนว่าจะใช้อาวุธปืนกับผู้ชุมนุมแต่อย่างใด

ทนายได้ซักถามว่าเสียงปืนที่เธอได้ยินนั้นเป็นเสียงจากฝั่งไหนเธอตอบว่ามาจากทางฝั่งทหาร  ไม่มีมาจากทางด้านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และทนายถามอีกว่าทราบหรือไม่ว่าปืนที่ทหารใช้เป็นปืนชนิดอะไรเธอตอบว่าไม่ทราบแต่ทราบว่าเป้นปืนยาวที่ใช้ในราชการสงคราม

พยานปากที่สาม นายบดินทร์ วัชโรบล เบิกความว่าช่วงเหตุการณ์เป็นช่างภาพอิสระของสมาคมผู้บริโภคสื่อสีขาว เข้าไปถ่ายภาพเหตุการณ์การชุมนุมตั้งแต่เดือนมี.ค.-เม.ย.53 โดยเขาได้ลงทะเบียนสื่อมวลชนและได้รับแจกปลอกแขนสีเขียวเป็นสัญลักษณ์ของสื่อมวลชน เขาได้ถ่ายภาพที่เวทีการชุมนุมทั้งที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ ราชประสงค์ และรอบบริเวณที่มีการชุมนุม ซึ่งอยู่ประจำตลอดทั้งวัน วันเกิดเหตุ ทราบข่าวทางวิทยุชุมชนว่าจะมีการสลายการชุมนุม เวลาประมาณ 10.00 น. พยานจึงขับรถจักรยานยนต์ไปที่ราชประสงค์และอยู่จนถึง 17.00 น. เศษ ก็ได้ยินประกาศว่าที่สะพานมัฆวานมีการสลายการชุมนุมและมีผู้บาดเจ็บ ต้องการกำลังเสริม พยานจึงขับรถจักรยานยนต์ไปที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ เห็นเฮลิคอปเตอร์บินวนและโยนแก๊สน้ำตาลงมาที่เวทีสะพานผ่านฟ้า กระทั่งเวลา 18.00 น. บนเวทีประกาศว่า ขณะนี้มีรถถังพร้อมกำลังทหารอาวุธครบมือมาถึงสี่แยกคอกวัว สะพานปิ่นเกล้า และอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พยานจึงเดินไปที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เห็นทหารประชันหน้ากับผู้ชุมนุมตรง ถนนดินสอ โดยทหารตั้งแถวหน้ากระดานมากกว่า 300 นาย ด้านหน้าถือโล่และกระบอง แถวหลังไปสะพายอาวุธปืน M16 มี 4-5 ชั้น และเห็นรถหุ้มเกราะอยู่ตรงหัวถนน  ส่วนผู้ชุมนุมไม่มีอาวุธ นอกจากขวดน้ำขณะบันทึกภาพเขาไม่เห็นชายชุดดำแต่อย่างใด

นายบดินทร์เบิกความต่อว่า หลังจากเคารพธงชาติ มีรถหกล้อติดเครื่องขยายเสียงของแกนนำคือพ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรรัตน์ ขับมาประจันหน้ากับทหาร และประกาศว่า “ทหารใจเย็นๆ เราเป็นคนไทยด้วยกัน อย่าทำร้ายกันเลย” สักพักผู้ชุมนุมมีการเปิดเพลง ทหารก็ยิงปืนขึ้นฟ้าประมาณร้อยนัด ห่างจากจุดที่พยานอยู่ประมาณ 10 ม. ซึ่งพยานได้บันทึกคลิปวิดีโอไว้ด้วย กลุ่มผู้ชุมนุมจึงขว้างขวดน้ำใส่ทหาร จากนั้นได้ยินเสียงระเบิดดังหลังแนวทหารที่บริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา  เขาทราบเพราะเห็นสะเก็ดไฟตรงจุดนั้นจากนั้นราว 10 วินาที มีเสียงระเบิดดังขึ้นอีก ทหารจึงถอยร่นไปทางสะพานวันชาติ กลุ่มผู้ชุมนุมที่ผลักดันทหารอยู่ก็ตามเข้าไปด้วยแต่เขาไม่กล้าตามเข้าไป โดยขณะนั้นยังได้ยินเสียงปืนประปราย แต่ไม่ทราบว่ามาจากทิศใด สักพักเห็นผู้ชุมนุมหามผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บออกมาจาก ถนนดินสอ พยานจึงเดินเลาะเข้าไปทางด้านขวาของถนนถ่ายภาพหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา โดยบริเวณดังกล่าวมีไฟส่องสว่างชัดเจน  พยานเห็นร่างคนนอนอยู่บนพื้นถนนคาดว่าเสียชีวิตแล้ว และเห็นทหารนอนบาดเจ็บอยู่ใต้รถกระบะ ขณะนั้นพยานหันหน้าไปทางสะพานวันชาติ ก็เห็นกลุ่มทหารที่กำลังถอยร่นไป และเห็นแสงไฟจากปากกระบอกปืนมาจากฝั่งทหารมีวิถีมุ่งหน้ามายังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

พยานเบิกความต่อว่า จากนั้นพยานได้ไปพาอาสาสมัครพยาบาล คือ นายอิทธิกร ตันหยง ไปช่วยทหารที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ในถนนดินสอโดยมีผู้ชุมนุมบางคนเข้ามาด้วย เขาได้พยายามช่วยแกะรองเท้าของทหารออกส่วนนายอิทธิกรก็ได้ไปหาไม้เพื่อมาดาม  ยังได้ยินเสียงปืนจากฝั่งทหารยิงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง นายอิทธิกรจึงตะโกนบอกว่า อย่าพึ่งยิง ขอช่วยทหารบาดเจ็บก่อน แต่ยังมีการยิงเข้ามา จึงทำให้กระสุนไปถูกที่เท้านายอิทธิกร 1 นัด และถูกที่ท้องของพยาน 1 นัด แล้วมีผู้นำพยานส่งโรงพยาบาลกลางแต่เนื่องจากมีคนเจ็บเยอะแพทย์จึงได้ให้ส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลตากสินดีกว่าเพราะมีอุปกรณ์พร้อมและเขาได้ทำการผ่าตัดที่โรงพยาบาลตากสินโดยกระสุนทะลุลำไส้ฉีกขาด หมอจึงต้องผ่าตัดลำไส้ออกส่วนหนึ่ง แต่ไม่ได้ผ่ากระสุนออก ทำให้ปัจจุบันกระสุนยังฝังอยู่ใกล้กับกระดูกสันหลัง หลังผ่าตัดแล้วถูกส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลพระราม 9   เขาได้ยืนยันว่ากระสุนมาจากแนวทหารเพราะขณะที่ถูกยิงนั้นเขาหันหน้าไปทางทหารส่วนหลังเขาพิงรถ กระสุนเป็นกระสุนจริง

หลังเกิดเหตุทราบว่ามีผู้เสียชีวิต 2-3 คน ในบริเวณที่พยานถูกยิง ซึ่งพยานบันทึกภาพเกิดเหตุไว้ตลอด โดยมีชายคนหนึ่งที่พยานถ่ายภาพไว้คือคนที่ถูกยิงสมองไหลและถูกหามออกไป แต่ไม่ทราบว่าเป็นใคร ตั้งแต่ที่เข้าไปบันทึกภาพการชุมนุม ไม่พบเห็นว่าผู้ชุมนุมเข้าทำลายสถานที่ราชการหรือก่อความวุ่นวายแต่อย่างใด จึงไม่น่าจะเป็นสาเหตุให้ทหารต้องใช้อาวุธปืนกับผู้ชุมนุม โดยก่อนสลายการชุมนุมนั้น เจ้าหน้าที่ไม่มีการประกาศว่าจะใช้อาวุธกับผู้ชุมนุมแต่อย่างใด และขณะเกิดเหตุ ผู้ชุมนุมหรือบุคคลอื่นไม่สามารถเข้าไปในฝั่งของทหารหรือโดยรอบบริเวณที่ทหารอยู่ได้ เพราะทหารควบคุมพื้นที่ทั้งหมด

ทนายซักถามว่าทราบหรือไม่ว่าในวันที่ 10 เม.ย.จะมีการสลายการชุมนุมเขาตอบว่าวันที่ 9 เม.ย. เขาได้ไปที่ สถานีดาวเทียมไทยคม ลาดหลุมแก้วเพื่อถ่ายภาพ  เขาได้เห็นว่าทหารมีการนำเอา M16 ปืนลูกซอง มีแก๊สน้ำตามาด้วย จึงคิดว่าจะมีการใช้อาวุธภายหลัง ทนายได้ถามเขาอีกว่าในระหว่างที่เข้าไปถ่ายภาพเหตุการณ์ช่วงการชุมนุมได้เคยเห็นผู้ชุมนุมมีอาวุธ และเห็นว่ามาการเผาทำลายทรัพย์สินราชการหรือมีการใช้ความรุนแรงขนาดต้องนำกำลังทหารหรือใช้อาวุธเพื่อทำการตอบโต้หรือไม่ เขาตอบว่าไม่เคย

ทนายได้ถามถึงช่วงเหตุการณ์ที่เขาอยู่ที่ถนนดินสอเขาตอบว่า ช่วง 17.00 น. ทหารอยู่ที่ทางเข้าถนนดินสอตั้งแถวถือโล่  ส่วนผุ้ชุมนุมก็ยันเอาไว้ไม่ให้ทหารเข้ามาในบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย  ส่วนตัวเขาเองอยู่แนวหลังผู้ชุมนุมส่วนทางด้านหลังแนวทหารไม่มีผู้ชุมนุมอยู่ ทนายถามว่าในบ้านที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับโรงเรียนสตรีวิทยามีผู้ชุมนุมเข้าไปได้หรือไม่เขาตอบว่าช่วงก่อนทุ่มยังไม่มีผู้ชุมนุมเข้าไปได้เนื่องจากมีทหารตั้งแนวโล่อยู่จึงผ่านเข้าไปไม่ได้ ทนายถามอีกว่าเห็นผู้ชุมนุมที่เดินตามทหารเข้าไปที่สะพานวันชาติมีอาวุธหรือไม่เขาตอบว่าไม่เห็น

 

นัดสืบพยานวันที่ 13 มีนาคม 2556

          พยาน นายอิทธิกร ตันหยง  พนักงานบริษัท

นายอิทธิกร ตันหยง  เบิกความว่า เขาเป็นอาสาสมัครของมูลนิธิพญาอินทรีย์ ซึ่งมีศูนย์ใหญ่อยู่ที่ถนนพัฒนาการ โดยจะเข้าไปให้ความช่วยเหลือเมื่อเกิดอุบัติเหตุหรืออุบัติภัยโดยศูนย์พญาอินทรีย์จะได้รับแจ้งเหตุจากทางศูนย์นเรนทรอีกที  ในช่วงเหตุการณ์ชุมนุมทางศูนย์พยาอินทรีได้มีการให้เข้าไปตั้งเต็นท์อยู่ด้านหน้าเทวเศประกันภัย  ถนนราชดำเนิน  โดยเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปจะใส่ชุดฟอร์มของทางศูนย์และกระเป๋ายาจะมีเครื่องหมายกาชาด  โดยเจ้าหนี้ท่จะผลัดเวียนกันเข้าไปให้บริการเมื่อว่าง ส่วนเขาเองก่อนวันที่ 10 เม.ย.53 ได้เข้าไปสังเกตการณ์ที่สะพานผ่านฟ้า ลีลาศ 3 ครั้ง  และเขาทราบว่าการชุมนุมเป้นการเรียกร้องประชาธิปไตยและให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นลาออก   ในการชุมนุมไม่มการพูดชักจูงให้มีการไปทำลายสถานที่ เป็นการชุมนุมโดยสงบ เขาไม่พบผู้ชุมนุมมีอาวุธ ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่สวมเสื้อสีแดง

วันที่ 10 เม.ย. 53 เวลาประมาณ 14.00 น. ขณะนั้นเขายังอยู่ที่บ้านทราบข่าวว่ามีการปะทะกันเล็กน้อยระหว่างผู้ชุมนุมกับทหารทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ และเขาได้รับแจ้งว่าศูนย์กำลังขาดคนและยา  แต่เขายังไม่ได้ตัดสินใจเข้าไป  จนกระทั่ง 18.00 น. เขาจึงได้รับแจ้งว่าทางศูนย์จะมีเจ้าหน้าที่เข้าไปในที่ชุมนุมราว 18.00-19.00 น. เพื่อให้การช่วยเหลือผุ้บาดเจ็บ  เนื่องจากทราบว่า ศอฉ.ประกาศว่าจะหยุดปฏิบัติการและนำกำลังพลกลับเมื่อฟ้ามืด  ทางศูนย์ใหญ่จึงได้ประสานให้เข้าไปเพราะคิดว่าทหารน่ากลับไปแล้ว  จากนั้นเขาจึงไปที่ศูนย์ที่พัฒนาการแต่เมื่อไปถึงราว 18.00 น. เศษ เจ้าหน้าที่ได้ออกจากศูนย์ไปแล้วเขาจึงขับรถยนต์ส่วนตัวตามไปที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศเอง แล้วไปจอดรถไว้ที่ฟุตปาธหน้าวัดโสมนัสวิหารแล้วเดินเข้าทางถนนหลานหลวงระหว่างทางเขาเห็นเฮลิคอปเตอร์บินวนอยู่และมีการทิ้งแก๊สน้ำตาลงมาที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและสะพานผ่านฟ้าลีลาศซึ่งบริเวณนั้นมีผู้ชุมนุมอยู่เต็มพื้นที่  คนจึงหาที่หลลล้างหน้ากัน ส่วนตัวเขาเองใช้ผ้าชุบน้ำปิดหน้าแล้วเดินต่อเพื่อที่จะไปคอกวัวผ่านเข้าไปที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ ผ่านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แต่เมื่อถึงบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมีผู้ชุมนุมอยู่ในบริเวณนั้นหนาแน่นมากจึงไปต่อไม่ได้เขาจึงอยู่ในบริเวณนั้น  เขาได้เห็นว่าที่ถนนดินสอมีทหารอยู่เป็นจำนวนมากพยายามผลักดันผู้ชุมนุมอยู่มีการขว้างปาขวดน้ำใส่ทหาร โดยทหารพยายามจะเข้าไปในวงเวียนรอบอนุสาวรีย์แต่ผู้ชุมนุมไม่ให้เข้า  และมีรถหุ้มเกราะจอดอยู่หน้าทางเข้าถนน 3 คันและยังมีจอดอยู่ข้างในอีก ทางด้านหลังรถหุ้มเกราะมีทหารอยู่หลายร้อยคน  ทหารที่อยู่แถวหน้าสุดจะมีโล่กระบอง แถวหลังจะถือปืนลูกซองปากกระบอกชี้ขึ้นฟ้า แถวถัดไปอีกจะถือปืน M16 เล็งมาทางผู้ชุมนุม  ขณะนั้นเขาอยู่หน้าทางเข้าถนนดินสอฝั่งตรงข้ามแม็คโดนัลด์ห่างจากแนวทหารไม่เกิน 10 ม.  เขาไม่เห็นว่ามีคนใส่โม่งหรือมีอาวุธอยู่ ขณะนั้นยังท้องฟ้ายังไม่มืดจึงยังสามารถมองเห็นเหตุการณ์ได้

ผลักดันกันได้ซักพักมีรถประชาสัมพันธ์ 6 ล้อ เข้ามาที่บริเวณถนนดินสอและประกาศว่า “ทหารอย่าทำร้ายประชาชน ทหารกับประชาชนเป็นพี่น้องกัน อย่าทำร้ายกัน”  และมีการเปิดเพลงด้วย หลังเพลงจบก็ได้มีเสียงปืนดังขึ้นจากทางฝั่งทหารเป็นการยิงทีละนัด แต่ยิงหลายนัดเป็นช่วงๆ ขึ้นฟ้า  จากนั้นทหารมีการผลักดันผู้ชุมนุมรุกเข้าพื้นที่การชุมนุมทหารได้มีการยิงใส่ผู้ชุมนุมทำให้มีผู้รับบาดเจ็บเขาได้เข้าไปช่วยพาคนเจ็บออกมาและทำการปฐมพยาบาล 3 คน ซึ่งได้รับบาดเจ็บมีเลือดไหลออกเล็กน้อยคาดว่าจะได้รับบาดเจ็บจากกระสุนยาง ต่อมาได้ช่วยคนเจ็บอีกเป็นคนที่ 4 ซึ่งได้รับบาดเจ็บเป็นแผลฉกรรจ์ที่หน้าออกมีเลือดไหลออกมา และที่หลังมีปากแผลกว้างและมีเลือดไหลออกมาเป็นจำนวนมาก เขาคาดว่าเกิดจากการถูกกระสุนจริงยิงเขาจึงพาไปขึ้นรถกู้ชีพที่จอดอยู่ในบริเวณนั้น  หลังจากนั้นเขาจึงหลบที่ต้นไม้ใหย่ที่หน้าทางเข้าถนนดินสอ ขณะที่กำลังช่วยคนเจ็บและหลบออกมาแล้วนั้นเขาได้ยินเสียงปืนดังอยู่ตลอดจากทางฝั่งทหารเท่านั้นและได้เห็นแสงไฟจากปากกระบอกปืนของทหารด้วย

ทหารกับผู้ชุมนุมยังผลักดันกันอยู่ซักพักมีเสียงระเบิดดังขึ้นที่บริเวณทางเข้าถนนดินสอและตรงรถหุ้มเกราะ 3 ครั้ง ทหารได้ถอยลึกเข้าไปในถนนดินสอ เมื่อทหารถอยเข้าไปเขามองไม่เห็นทหารแล้ว หลังเสียงระเบิดยังมีเสียงปืนดังอยู่เป็นช่วงๆ  เขาได้เห็นมีคนลากคนเจ็บออกมา 4 คน ซึ่งทั้ง 4 คนไม่รู้สึกตัวแล้ว   รถประชาสัมพันธ์ได้ประกาศให้ผู้ชุมนุมกลับไปที่หน้าเวทีที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศผู้ชุมนุมจึงออกจากบริเวณนั้นไปจนเกือบหมดแต่มีผู้ชุมนุมบางส่วนเดินตามทหารเข้าไป ขณะนั้นเขายังหลบอยู่หลังต้นไม้ที่หน้าทางเข้าถนนดินสอ  เมื่อเสียงปืนเริ่มเงียบลงเขากำลังจะเดินกลับไปที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศได้มีนักข่าวคนหนึ่งมาจับแขนเขาไว้และบอกว่าข้างในถนนดินสอมีผู้ได้รับบาดเจ็บให้เข้าไปช่วยด้วยกัน ภายหลังเขาทราบว่าคือนายบดินทร์ วัชโรบล

ในขณะที่นายอิทธิกรเข้าไปในถนนดินสอเขาได้ชูกระเป๋ายาซึ่งมีเครื่องหมายกาชาดขึ้นและตะโกนบอกว่าเป็นอาสาพยาบาลจะเข้าไปช่วยคนเจ็บ อย่ายิง  เมื่อเข้าไปได้ราว 20 ม. ถึงตรงบริเวณทางม้าลายหน้าโรงเรียนสตรีวิทยาเขาเห็นทหารอยู่ในช่วงปลายถนนดินสอ  เมื่อเดินเขาไปถึงจุดที่มีคนเจ็บพบทหารได้รับาดเจ็บขาหักนั่งพิงท้ายรถกระบะโดยหันหน้าไปทิศทางสะพานวันชาติเห็นมีคนกำลังช่วยแกะเชือกรองเท้าให้อยุ่ เขาจึงไปหาไม้มาดามขาที่หัก  เขาเข้าไปช่วยดามขาให้ทหารนายนั้นโดยเขานั่งหันหลังให้โรงเรียนสตรีวิทยา ด้านซ้ายของเขาหันไปทางสะพานวันชาติ  ระหว่างที่ปฐมพยาบาลให้ทหารนายนั้นอยู่ก็มีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด จากทางกลุ่มทหารเขาจึงหันมองไปตามทิศทางของเสียง ไม่นานนักมีเสียงปืนดังขึ้นครั้งที่ 2 เขาได้ถูกยิงเข้าที่หลังเท้าข้างซ้ายเขาจึงกระโดดหลบไป  มีเสียงปืนดังขึ้นตามมาอีกหลายนัดจากทางกลุ่มทหารเขาจึงได้เอาตัวชิดกำแพงเดินเขย่งเท้ากลับออกไปและได้มีคนมาช่วยพาเขาออกไปขึ้นรถพยาบาลที่จอดอยู่ทางเข้าถนนดินสอและถูกนำส่งโรงพยาบาลตากสิน ในช่วงที่เข้าไปในถนนดินสอกับนายบดินทร์นั้นนายบดินทร์ได้ถ่ายภาพเอาไว้ตลอด

เมื่อถึงโรงพยาบาลแพทย์ได้ทำการผ่าตัดเอาหัวกระสุนที่ฝังออกกระดูกหลังเท้าแหลกหายไปบางส่วนทำให้เท้าเสียรูป  แพทย์ได้บอกว่ากระสุนที่ฝังอยู่เป็นกระสุนปืน M16 เขาจึงได้ขอกระสุนและฟิล์มเอ็กซเรย์กับแพทย์แต่แพทย์ไม่ให้มา  เขาได้ทำการรักษาที่โรงพยาบล 40 กว่าวันและกลับบ้านมาพักรักาตัวอีก 8 เดือน ปัจจุบันยังเจ็บเท้าอยู่ตลอด นางสุภานันท์ ตันหยง ภรรยาของเขาได้เข้าแจ้งความกับตำรวจด้วยว่าเขาถูกยิง และได้เข้าให้การกับพนักงานสอบสวนและ DSI ด้วย ในภายหลังเขาทราบด้วยว่านายบดินทร์ที่เข้าไปในถนนดินสอด้วยกันก็ถูกยิงที่ท้องเช่นกัน

ทนายได้ทำการซักถามนายอิทธิกรว่าในวันเกิดเหตุพบชายชุดดำหรือไม่ และในขณะที่ผู้ชุมนุมผลักดันกับทหารเขาได้เห็นว่าผู้ชุมนุมมีอาวุธหรือไม่เขาตอบว่าไม่พบชายชุดดำและไม่พบว่าผู้ชุมนุมมีอาวุธมีแต่ขวดน้ำ ทนายถามอีกว่าตอนที่เขาเห็นทหารทำการยิงเป็นการยิงในลักษณะท่าทางใด เขาตอบว่าเห้นเล้งมาทางผู้ชุมนุมในแนวระนาบตั้งแต่ช่วงเอวขึ้นมาถ้ายิงถูกก็อาจทำให้บาดเจ็บสาหัสหรือถึงแก่ชีวิต

จากนั้นทนายได้ถามเขาต่อว่าในขณะที่เข้าไปในถนนดินสอมีแสงสว่างหรือไม่และทหารจะเห็นเครื่องหมายกาชาดบนกระเป๋ายาของเขาได้หรือไม่ เขาตอบว่าในถนนยังมีแสงสว่างจากไฟถนนอยู่และกระเป๋าของเขากว้างราวกระดาษ A4 เครื่องหมายกาชาดมีขนาดใหญ่ทหารจึงสามารถเห็นได้  ทนายถามอีกว่าในขณะที่เขาถูกยิงนั้นลักษณะการยิงของทหารนั้นเป็นอย่างไรเขาตอบว่าคิดว่าเป็นการยิงมุ่งเอาชีวิตเพราะมีการยิงไล่ซ้ำมาอีก  ทนายได้ถามถึงคนเจ็บคนตายที่เขาเห็นนั้นบาดเจ็บจากอะไรและในขณะนั้นทางผู้ชุมนุมได้มีการยิงตอบโต้กลับหรือไม่  เขาตอบว่าคนเจ็บคนตายเกิดจากกระสุนที่ยิงมาจากทางฝ่ายทหารส่วนทางผู้ชุมนุมไมได้มีการยิงตอบโต้กลับ

ทนายถามได้ถามว่าตอนที่เขาเข้าไปในถนนดินสอได้เห็นบ้านทรงไทยที่อยู่ตรงข้ามโรงเรียนสตรีวิทยาหรือไม่เขาตอบว่าเห็นทนายจึงได้ถามต่อว่าแล้วในระหว่างที่เขาอยู่บริเวรถนนดินสอได้เห็นว่ามีผู้ชุมนุมเข้าในบริเวรบ้านหลังนั้นหรือไม่เขาตอบว่าไม่มีผู้ชุมนุมเข้าไปอยู่แต่ข้างนอก และไม่เห็นว่าในบ้านมีคนอยู่  ทนายได้ถามย้ำถึงที่เขาเบิกความว่ามีระเบิด 3 ครั้งนั้นเขาแน่ใจหรือไม่ เขาตอบว่ามีระเบิด 3 ครั้ง

จากนั้นทนายถามว่าเขาได้เห็นว่าผู้ชุมนุมได้มีการก่อความวุ่นวายจนเป็นเหตุจำเป็นให้นำอาวุธสงครามและรถหุ้มเกราะมาใช้ในการสลายการชุมนุมหรือไม่ เขาตอบปฏิเสธว่าไม่เห็น  ทนายถามอีกว่าก่อนเข้าพื้นที่ชุมนุมได้มีการตรวจค้นผู้ชุมนุมก่อนหรือไม่เขาตอบว่ามี

ทนายถามนายอิทธิกรว่าได้เริ่มเข้ามาเป้นอาสาสมัครตั้งแต่เมื่อไหร่และเคยเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในการชุมนุมอื่นๆ หรือไม่ เขาตอบว่าเข้าเป็นอาสาสมัครในช่วงราว ปี 2542 และได้เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในการชุมนุมของพันธมิตรมาก่อน  ทนายถามต่อว่าในเหตุการณ์ 10 เม.ย. 53 ก่อนที่ทหารจะมีการใช้อาวุธปืนได้มีการประกาศเตือนก่อนหรือไม่ เขาตอบว่าไม่มีการประกาศเตือน

จากนั้นทนายถามนายอิทธิกรว่าการระเบิดสามครั้งนั้นที่จุดใดบ้างเขาตอบว่า บนถนนดินสอ 1 จุด บริเวณรถหุ้มเกราะ 1 จุด แต่ระเบิดครั้งที่สามเขาไม่ทราบ  เขาถามผู้ชุมนุมสามารถเข้าไปในถนนดินสอได้หรือไม่เขาตอบว่าไม่ได้ขณะที่มีการระเบิดผู้ชุมนุมก็ยังเข้าไปไม่ได้เพราะยังมีทหารอยู่

ทนายยังได้ถามอีกว่าทำไมนายอิทธิกรจึงระบุได้ว่าทหารใช้อาวุธอะไร เขาตอบว่าในปี 2536 เป็นทหารอยู่กองพลปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 1 รักาพระองค์ ในตอนนั้นเคยฝึกการใช้อาวุธปืน M16 และยุทธวิธีการรบด้วย  ทนายถามต่อว่าภายหลังเหตุการณ์เขาทราบหรือไม่ว่ามีผู้เสียชีวิตและเป็นจำนวนเท่าไหร่เขาตอบว่าทราบ  มีผู้เสียชีวิตราว 10 กว่าคน มีผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก  ทนายได้ถามเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของเขาว่าเป็นอย่างไร เขาตอบว่าเท้าผิดรูปเพราะต้องเอากระดูกเท้าออกทำให้เดินไม่สะดวกต้องใช้ไม้เท้าช่วยในการเดิน

 

นัดสืบพยานวันที่ 21 พฤษภาคม 2556[2]

           พยาน

  1. น.พ.รังสิมา แต้ไพบูลย์ แพทย์นิติเวช โรงพยาบาลกลาง
  2. น.พ.มนต์ชัย ศรีชู แพทย์นิติเวช โรงพยาบาลสิรินธร

พยานปากแรกน.พ.รังสิมา แต้ไพบูลย์ เบิกความว่า เมื่อวันที่ 10 เม.ย.53 เวลาประมาณ 21.00 น. เจ้าหน้าที่ศูนย์เอราวัณนำผู้บาดเจ็บมารักษา ชื่อนายจรูญ ฉายแม้น ซึ่งขณะนั้นยังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่สามารถวัดสัญญาณชีพจรได้ จากการตรวจบาดแผลภายนอกพบบาดแผลมีลักษณะเป็นรูบริเวณราวนมซ้าย ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 ซม. จึงช่วยชีวิตตามขั้นตอน ประมาณ 1 ชั่วโมงต่อมาผู้บาดเจ็บก็เสียชีวิตลง เธอสรุปความเห็นว่าถูกยิงด้วยกระสุนปืนความเร็วสูง เพราะดูจากบาดแผลทางเข้าเล็ก แต่บาดแผลทางออกเป็นรูใหญ่มาก จากนั้นจึงแจ้งให้ สน.พลับพลาไชย 1 มาดำเนินการส่งศพชันสูตรที่สถาบันนิติเวชต่อไป

น.พ.รังสิมา เบิกความต่อว่า เมื่อวันที่ 11 เม.ย. เวลาประมาณ 24.00 น. เศษ ศูนย์เอราวัณได้นำผู้เสียชีวิตมาให้ชันสูตรบาดแผล ชื่อนายสยาม วัฒนนุกูล จากการตรวจชันสูตรพบบาดแผลมีลักษณะเป็นรู บริเวณสะบักด้านขวาหลัง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 ซม. สันนิษฐานว่าเกิดจากวัตถุความเร็วสูง จากนั้นจึงแจ้งให้ สน.พลับพลาไชย 1 มาดำเนินการส่งศพชันสูตรที่สถาบันนิติเวชต่อไป โดยเธอทราบจากเจ้าหน้าที่ศูนย์เอราวัณว่าผู้ตายทั้งสองถูกพบบริเวณสี่แยกคอกวัว ทั้งนี้ ในวันที่ 10 เม.ย.53 เจ้าหน้าที่ศูนย์เอราวัณได้นำส่งผู้เสียชีวิตมายังโรงพยาบาลกลาง ประมาณ 10 คน และผู้บาดเจ็บประมาณ 200 คน

พยานปากที่สองน.พ.มนต์ชัย ศรีชู เบิกความว่า เมื่อปี 2553 เขาเป็นแพทย์นิติเวช ที่สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ เมื่อวันที่ 11 เม.ย.53 สน.พลับพลาไชย 1 ส่งศพนายจรูญ ฉายแม้น มาให้ชันสูตร จึงดำเนินการชันสูตรร่วมกับแพทย์อีก 2 คน จากการตรวจสภาพศพภายนอก พบบาดแผลฉีกขาดเป็นรูกลม บริเวณทรวงอกขวา ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.4 ซม. และมีบาดแผลผ่าตัดระบายเลือดที่บริเวณด้านข้างอกขวา ยาว 3.5 ซม. ส่วนการตรวจศพภายในมีบาดแผลทะลุเข้าช่องซี่โครงขวา  ทะลุปอดขวา ทะลุกระบังลม ทะลุตับขวาฉีกขาด ทะลุเข้ากระดูกสันหลังส่วนอกด้านขวา และพบเศษโลหะหุ้มด้วยทองแดงฝังอยู่ที่กระดูกสันหลังส่วนเอว ทิศทางจากขวาไปซ้าย จากหน้าไปหลัง จากบนลงล่าง นอกจากนี้ ยังพบเศษโลหะชิ้นเล็กๆ กระจายในอวัยวะภายใน โดยสันนิษฐานว่าเกิดจากกระสุนปืนความเร็วสูง

น.พ.มนต์ชัย เบิกความต่อว่า ส่วนศพนายสยาม วัฒนนุกูล จากการตรวจสภาพศพภายนอก พบบาดแผลฉีกขาดเป็นรูปรี บริเวณสะบักขวา ขนาด 0.4 × 0.6 ซม. ต่ำจากบ่า 11 ซม. ห่างแนวกลางตัว 16 ซม. ร่วมกับบาดแผลฉีกขาด ขนาด 0.2 × 0.5 ซม. จากการตรวจศพภายใน พบลักษณะเป็นบาดแผลทางเข้ากระสุนปืนตัดกระดูกซี่โครงขวาด้านหลัง ทะลุปอดขวา แขนงหลอดเลือดแดงใหญ่ทรวงอกแยกไปแขนขวาฉีกขาด พบเศษโลหะสีเทาฝังอยู่ในเนื้อเยื่อรอบหลอดเลือด ทิศทางจากขวาไปซ้าย หลังไปหน้า ล่างขึ้นบนเล็กน้อย โดยสันนิษฐานว่าเกิดจากกระสุนปืน จากนั้นจึงมีการส่งหัวกระสุนปืนที่พบในศพของนายจรูญไปตรวจสอบที่กองพิสูจน์หลักฐาน จึงทราบว่าเป็นขนาด .223(5.56 มม.) ส่วนในศพของนายสยามมีเพียงเศษกระสุนที่แตก จึงไม่สามารถตรวจพิสูจน์ได้ เหตุที่พยานที่ทราบว่านายจรูญถูกกระสุนปืนความเร็วสูงนั้น  ดูได้จากลักษณะบาดแผลร่วมกับมีเศษกระสุนกระจายอยู่ในอวัยวะภายในตามแนวที่กระสุนปืนเคลื่อนผ่าน แต่ของนายสยามมีเพียงกระสุนปืนที่ไปชนกับกระดูกแล้วเกิดแตกฝังอยู่ในอวัยวะ ซึ่งเกิดจากกระสุนปืนธรรมดา

 



[1] นายไพบูลย์ น้อยเพ็ง เป็นพยานในการไต่สวนชันสูตรพลิกศพนายฮิโรยูกิ มูราโมโต,นายวสันต์ ภู่ทองและนายทศชัย เมฆงามฟ้า ด้วย